มารู้จักโครงสร้างองค์กร แบบ Agile กันเถอะ

คุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำงานบริหารจัดการโครงการแล้วเจอปัญหาเรื่องนี้หรือไม่

ขอบเขตงานขยายร้อยทิศทาง

ควบคุมระยะเวลาเสร็จสิ้นได้ยาก

งบประมาณบานปลาย

ผลงานและ คุณภาพ ไม่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า

ซึ้งปัญหาเหล่านี้ มักเจอได้บ่อยๆ เกิดขึ้นเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นบริหารแบบใดๆก็ตาม  เราขอนำเสนอ

 

 

Agile เป็นแนวคิดในการทำงาน ที่จะช่วยจัดความต้องการของลูกค้า ช่วยให้คุณส่งมอบความกำหนด ควบคุมงบประมาณ และ เพิ่มความพอใจของลูกค้าอีกด้วย โดยมีเทคนิคและวิธีการ การปฏิบัติงาน ที่แบ่งดำเนินโครงการออกเป็นส่วนย่อย ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมได้ สนองต่อความต้องการของลูกค้าโดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน   เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่เข้ามาแทนที่แนวคิดเดิมอย่าง Waterfall

ซึ่งแต่ก่อนนี้ การทำงานแบบ Waterfall จะเป็นการวางแผน กำหนดเป้าหมาย กระจายงาน ใน step ขั้นตอนเดียว ทำให้กว่าจะได้ผลลัพธ์สุดท้าย ใช้เวลานาน เกิดเป็นปัญหาใหญ่ตามมา 2 ประการสำคัญ ได้แก่

ปัญหาเรื่องการวางแผนให้เป็นไปตามเวลา และงบประมาณ เนื่องจาก scope ของงานใหญ่ และมีการแบ่งทีมกันดูแล ทำให้ใช้เวลาในการรวบรวมงาน หรือ communicate กันระดับหนึ่ง ส่งผลให้กว่าจะสำเร็จดังเป้าหมาย

ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงทั้งภายใน และภายนอก ที่ส่งผลให้โปรเจคต้องถูกพับเก็บไป เนื่องจากเป็น scope ใหญ่ ที่วางแผนระยะยาว ทำให้เมื่อเกิดปัญหา ที่ผิดพลาดไปจากแผน ก็ไม่สามารถปรับตัว หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก

แนวคิดหลักๆ ของ Agile มีดังนี้

– ทำงานเป็นทีม และมีการ Communicate กันในทีมอย่างต่อเนื่อง

– ผิดพลาดได้ และต้องแก้ให้ได้โดยเร็ว พร้อมเปลี่ยนแปลง และปรับตัวอยู่เสมอ

– ค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิดๆ โดยมีการส่งมอบงาน และ Update กันอย่างต่อเนื่อง ไม่รอให้เกิดเป็นโปรเจคใหญ่ แล้วส่งทีเดียว

– ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ให้ความสำคัญกับ Value ให้มากที่สุด

 

หน้าที่ ของ Agile มีเพียง 3 ตำแหน่ง คือ

Product Owner คือ เจ้าของโปรเจค ทำหน้าที่ในการประเมิน Value ของงาน และจัดลำดับความชัดเจนในงานให้ทีม

Scrum Master คือ ผู้ทำหน้านี้จัดการกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่องาน ให้งานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

Team Member คือ แต่ละคนที่รับผิดชอบ Task ต่างๆ เช่น Designer, Analyst, UX/UI เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนที่ได้รับหน้าที่ หรือ Job นั้นๆ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ โดยตรง ทำให้งานเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

สรุปข้อดีของการทำงานแบบ Agile

1 ทุกฝ่ายพอใจ ลูกค้าได้เห็น product เร็วขึ้น (ไม่ต้องรอจนถึง final product) + มีช่วงเวลาให้ปรับแก้ไข requirement ส่วน developer ก็แฮปปี้ เพราะเห็นเลยว่าในแต่ละ sprint มีงานอะไรจะต้องทำบ้าง เลยสามารถจัดแจงการทำงานให้เหมาะสมได้ งานก็จะไม่ overload

2 ทุกคนในทีมเข้าใจ product เหมือนกัน สามารถทดแทนการทำงานกันได้

3 Product ออกมาเร็ว ถึงแม้จะไม่ใช่ Final Product แต่ก็สามารถเอาไปใช้งานหรือทำใหลูกค้าเห็นภาพได้ดีมากขึ้น

4 สามารถติดตามการทำงาน และประเมินผลการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข้อจำกัดของการประยุกต์ใช้ Agile

การประยุกต์ใช้ในองค์กรใหญ่ค่อนข้างทำได้ยาก เพราะมีทีมและแผนกที่ค่อนข้างใหญ่ การให้ทุกคนยอมรับวัฒนธรรมนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก รวมถึงการแตกฝ่ายต่างๆ เพื่อมารวมเป็นทีมย่อยขนาดเล็กก็ทำได้ยาก

Agile เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างซัพพอร์ตกับระบบแบบ Flat Organization เพราะฉะนั้นสำหรับบางบริษัทหรือบริษัทที่ผู้บริหารมีแนวคิดแบบ Pyramid Structure ก็จะประยุกต์ใช้ Agile ได้ยาก

Agile เป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากบริษัท เลยเหมาะในการใช้พัฒนา Tech Product มากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะประยุกต์ใช้กับงานแบบอื่นไม่ได้ ทาง Human tech ก็มีการประยุกต์ใช้กับทีมที่ทำงานด้านMarketing เหมือนกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาและต้องประยุกต์จากหลักการเดิมไปค่อนข้างเยอะ

 

ทำไม human tech ถึงนำเสนอเรื่องนี้ละ

ระบบการทำงานหรือโครงสร้างแต่ละที่ต้องใช้ความเร็วในการดำเนินงาน มีผลต่อพนักงานทั้งหมด ระบบงานอาจจะดึงประสิทธิภาพของพนักงานได้ไม่เต็มที่ ความเคลียด กดดัน ปัญหา 108 บลาๆ ซึ่งแนวคิดแต่ละที่ วิถีทางต่างกันออกไปไม่เหมือนกันซ้ะทีเดียว ถ้าสิ่งที่วางแผนมันไม่เป็นอย่างที่คิดละ เราจึงเสนอเรื่องนี้ เพื่อเป็นกระบอกเสียง หาหนทางที่จะไปต่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จ เพราะเวลาของคุณมันแสนจะน้อย เวลาของคุณมีจำกัด เวลาของคุณมันคือของคุณ จงอย่าเสียเวลาไปกับชีวิตคนอื่นที่ไม่เห็ฯค่าคุณ อย่าไปเสียเวลาเพียงเพราะว่ากฏเกณฑ์ จงอย่าปล่อยให้เสียงคนอื่นมากลบเสียงในใจของคุณ จงอย่ากลัวในสิ่งที่ไม่เคยเห็น และ จงกล้าหาญออกเผชิญสิ่งที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก

brandinside

coraline

Network Training Center

 

หากใครยังไม่รู้จักเรา คลิ๊ก

 

สำหรับคนที่กำลังมาหางาน คลิ๊ก

 

สามารถคอมเม้นติชมร่วมพูดคุยกับเราได้ด้านล่างเลยครับ

ภาษายอดนิยมสำหรับนักเขียนโปรแกรมปี 2018

ผ่านมาครึ่งปีแล้ว เพื่อนๆที่ตั้งใจเรียนภาษาสำหรับ IT เพิ่มเติม มีใครอัพเดทถึงไหนกันบ้างแล้วครับ?

วันนี้มาอัพเดท กับทาง ฮิวแมน เทค กันสักนิดครับว่า ภาษา IT ไหนเป็นที่นิยมกันบ้าง

สำหรับนักเขียนโปรแกรมแล้ว ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วขนาดนี้ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมก็พัฒนาตามไปด้วย วันนี้เราจะมาโชว์เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สถิติจากเว็บไซต์ “Stackoverflow” ที่ทุกๆปีจะจัดทำรายงาน เกี่ยวกับภาษาโปรแกรม ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยมีการสำรวจที่เกี่ยวข้องกับนักพัฒนาซอฟแวร์ กว่า 50,000 รายจากทั่วโลก


1.  Javascript

นี่คือหนึ่งในภาษาหรับการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และยังเเป็นภาษาข้ามแพลตฟอร์มมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นเดสก์ท็อปเว็บ และอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile App) ได้กันอีกด้วย

2.  SQL

การเขียนโปรแกรมนี้ถูกใช้เพื่อจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ SQL เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการออกแบบฐานข้อมูลเว็บไซต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าคุณต้องการหรือไม่ คุณก็จำเป็นต้องรู้พื้นฐานของ SQL อยู่ดี

3.  Java

เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ได้รับความนิยมมากในอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร เนื่องจากความเร็วและระดับความปลอดภัย ในปัจจุบันนักพัฒนาภาษา Java ขาดแคลนมากในตลาดแรงงาน เนื่องจากการเขียนโปรแกรมนี้ ค่อนข้างยาก และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้เริ่มต้น แต่เหตุผลที่ทำให้ภาษา Java เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะ Java ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่น Android ได้

4.  C#

หนึ่งในภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมขั้นสูง เป็นภาษาพัฒนาหลักสำหรับแพลตฟอร์ม Microsoft .NET ภาษา C# คล้ายกับ Java มาก แต่ C# ยากกว่า Java จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยสำหรับผู้เริ่มต้น

5.  Python

เมื่อไม่นานมานี้ PHP เคยได้รับความนิยมมากกว่า Python แต่ตอนนี้มั่นใจได้เลยที่จะบอกว่า Python กำลังได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนารุ่นใหม่ มีข้อดีมากมายแล้วไม่ซับซ้อน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น

6.  PHP

ภาษาโปรแกรมที่ใช้มากที่สุดสำหรับส่วนของเซิร์ฟเวอร์ ตามสถิติ PHP ใช้ประมาณ 240 ล้านเว็บไซต์ PHP มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพดี มี framework มากมายที่พัฒนาขึ้นสำหรับ PHP มีความรวดเร็วและปลอดภัยสูง Framework ที่ได้รับความนิยมสำหรับพัฒนาเว็บไซต์ เช่น Laravel, Yii แต่ข้อเสียหลักคือ ขาดความสามารถในการพัฒนาแอ็พพลิเคชันบนเดสก์ท็อป

7.  C++

หนึ่งในภาษาโปรแกรมที่ซับซ้อนมากที่สุด เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับมือใหม่และมักจะพยายามหลีกเลี่ยง แต่ C++ มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันและโปรแกรมได้อย่างครบถ้วน

8.  C

เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ใช้งานได้ครอบจักรวาล แถมยังเป็นที่นิยมสูงสุด ในปีก่อนๆ แต่ในยุคนี้ยุคที่มีการพัฒนาค่อนข้างรวดเร็วทำให้ภาษา C  โดนมาข้ามไปแล้วแต่ยังไงก็แล้วแต่ ภาษา C ก็ยังเป็นภาษาครอบจักรวาลเพราะมีแหละข้อมูลให้ศึกษาอย่างมหาศาลเหมาะกับผู้เริ่มต้น

9.  Type Script

ได้รับการพัฒนาโดย Microsoft ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้นเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ โดยยึดโครงสร้างตามหลักของ Java script ผู้สร้าง Type Script ยังคงมีการพัฒนาและเพิ่มทางเลือกใหม่ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย หากคุณเป็นมือใหม่คุณควรใส่ใจกับมันเพราะ Type Script จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปี 2018

 

10.  Ruby

นี่คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) ที่มีความจำเป็นเชิงพลวัต มันถูกใช้ร่วมกับ Rails Framework ในการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่ง Ruby เป็นภาษาระดับสูงมาก แต่มีไวยากรณ์ที่เรียบง่ายและสะอาด Ruby มีความยืดหยุ่นที่ดีและดูแลรักษาง่าย เป็นภาษาที่ผู้เริ่มต้นสามารถเรียนรู้ได้ง่าย คล้ายกับ PHP เหมาะดีสำหรับการพัฒนาที่ซับซ้อนบน e Commerce platforms ข้อเสียหลักคือไม่มีคู่มือที่ดีและเติบโตช้า

11.  Swift

ภาษานี้ได้รับการพัฒนาโดย Apple และมีจุดมุ่งหมายเพื่อแทนที่ Objective-C ซึ่ง Swift ได้มีการปรับปรุงการอ่าน Code และเพิ่มคุณสมบัติให้มากขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับ Objective-C และยังเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมและตอนนี้ก็มากกว่า Objective-C ภาษาเขียนโปรแกรมนี้มีแนวโน้มดี

12.  Objective-C

ภาษานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 นี่คือภาษาที่ได้รับการพัฒนาจากภาษา C และ Smalltalk มันประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนี้ แต่ค่อยๆ เริ่มที่จะสูญเสียความนิยม โดย Swift ได้เข้ามาแทนที่ภาษานี้

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ความความนิยมในแต่ละภาษาจะไม่เท่ากัน แต่ในทุกภาษาก็จะมีเอกลักษณ์ จุดเด่นและประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้ต่างๆกันออกไป

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก Digitalmarketing Wow  หากใครยังไม่รู้จักเรา คลิ๊ก

สำหรับคนที่กำลังมาหางาน คลิ๊ก

สามารถคอมเม้นติชมร่วมพูดคุยกับเราได้ด้านล่างเลยครับ


Content & Graphic: ยุทธนา เทอดเกียรติศักดิ์
Advised: ปรีชา คุ้นวานิช

เคล็ด “ไม่” ลับ ในการสอบตัวแทน / นายหน้า ประกันชีวิต

อาชีพตัวแทนประกันชีวิต เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี และจรรยาบรรณ ในวิชาชีพเป็นของตัวเองเช่นกัน ไม่ต่างกับอาชีพทรงคุณวุฒิอื่นๆที่มีบทจรรยาบรรณวิชาชีพ อย่างเช่น จรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ จรรยาบรรณวิชาชีพทนาย หรือ จรรยาบรรณวิชาชีพครู

และทราบหรือไม่ว่า จากรายงานสถิติการสอบตัวแทน/นายหน้า บุคคลธรรมดา (ทั้งประเทศ) ประจำปี พ.ศ. 2560 มีผู้สอบผ่าน ทั้งสิ้น 61,481 คน คิดเป็น 41.49% คนเท่านั้น จากผู้สมัครสอบทั้งปีที่มากถึง 215,892

วันนี้ เราจะมาเปิดเผย เคล็ดลับ โดยเริ่มจาก ส่วนของโครงสร้างข้อสอบที่สำคัญ ที่หากทำผิดเพียง 3 ข้อ คุณก็จะสอบตกอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะทำในส่วนอื่นได้คะแนนสูงก็ตาม นั้นก็คือ “จรรยาบรรณและศีลธรรมของตัวแทนประกันชีวิต”

สำหรับส่วนนี้ ข้อสอบจะมีทั้งหมด 10 ข้อ โดยทั้ง 10 ข้อมีคำถามครบทุกๆข้อของ “จรรยาบรรณและศีลธรรมของตัวแทนประกันชีวิต” ดังนั้น เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับการจำทั้ง 10 ข้อ แบบสั้นๆ ง่ายๆ และทรงประสิทธิผล นั้นก็คือ

“ซื่อ บริ ลับ”
“เผย เกิน ลด”
“สละ ทับถม”
“ศึกษา ศีลธรรม”

1. ซื่อสัตย์
2. บริการดี
3. รักษาความลับของลูกค้าและบริษัท (ยังไม่ได้ซื้อกรมธรรม์ ยังไม่นับเป็นลูกค้านะจ๊ะ)
4. เปิดเผยข้อเท็จจริงของลูกค้าต่อบริษัท (เพื่อความสมบูรณ์ของกรมธรรม์)
5. ไม่ขายเกินความสามารถในการจ่ายของลูกค้า
6. ไม่ลดค่าบำเหน็จ (หริอไม่ผลตอบแทนจากการขายของเรานั้นเอง)
7. ไม่แนะนำให้สละ หรือยกเลิกกรมธรรม์เดิม แล้วมาซื้อใหม่
8. ไม่ทับถม ให้ร้าย เพื่อนร่วมอาชีพ หรือบริษัทอื่น
9. หมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ (จะเรียนอะไรเพิ่มก็ได้)
10. มีศีลธรรม อันดี (ศีล๕ เลยจ้า)

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม “จรรยาบรรณและศีลธรรมของตัวแทนประกันชีวิต 10 ข้อ” ส่วนใครเวลาน้อย ขอเพิ่มเคล็ดลับอีกนิดในการพิจารณาเลือกคำตอบที่ใช่
สำหรับการสอบข้อเขียน ให้เราพิจารณาผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพียง 3 กลุ่มเท่านั้น นั้นก็คือ

ต่อผู้เอาประกัน “ลูกค้า”
ต่อบริษัทประกัน “บริษัท”
ต่อตัวแทน / นายหน้าด้วยกัน “เพื่อนร่วมอาชีพ”

เอาหล่ะ เมื่อได้หลักเช่นนี้แล้วก็ลองหาข้อสอบที่มี ปิดเฉลย แล้วลองทำกันดูได้เลย

 

ถ้าเพื่อนๆมีเคล็ดลับดีๆ เพิ่มเติม หรือ มีคำถาม สงสัย หรือไม่เข้าใจเฉลยข้อสอบ ของการสอบตัวแทน / นายหน้า ประกันชีวิต ส่งคำถามมาได้ที่ inbox Facebook ของเรา หรืออีเมล์มาได้ที่ Preecha.k@humantechrecruitment.com หากตอบได้เราจะตอบ หากเราตอบไม่ได้เราจะหาคำตอบมาให้

 

ขอให้ทุกท่านโชคดีในการสอบ และยินดีต้อนรับสู่วิชาชีพที่มีจรรยาบรรณ

 

ขอบคุณเคล็ดลับดีๆ จาก ท่านวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยประสิทธิ์วิชามาให้ ณ ครั้งที่ทำงาน ที่บมจ.ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต

ผู้เขียน : งานดี VS เงินดี (The Incremental)

 

 

จรรยาบรรณและศีลธรรมของตัวแทนประกันชีวิต 10 ข้อ

  1. มีความซื่อสัตย์ต่อผู้เอาประกันภัย บริษัท และเพื่อนร่วมอาชีพ
  2. ให้บริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และชี้แจงให้ผู้เอาประกันภัยทราบถึงสิทธิและหน้าที่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย
  3. รักษาความลับอันไม่ควรเปิดเผยของผู้เอาประกันภัย และของบริษัทต่อบุคคลภายนอก
  4. เปิดเผยข้อความจริงของผู้เอาประกันภัยในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อการพิจารณารับประกัน หรือเพื่อความสมบูรณ์แห่งกรมธรรม์
  5. ไม่เสนอแนะผู้ขอเอาประกันภัยทำประกันภัยเกินความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย หรือเสนอขายนอกเหนือเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์
  6. ไม่ลด หรือเสนอที่จะลดค่าบำเหน็จ เพื่อเป็นการจูงใจให้เอาประกันภัย
  7. ไม่แนะนำให้ผู้เอาประกันภัยสละกรมธรรม์เดิมเพื่อทำสัญญาใหม่ หากทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียผลประโยชน์
  8. ไม่กล่าวให้ร้ายทับถมตัวแทน หรือบริษัทอื่น
  9. หมั่นศึกษาหาความรู้ในวิชาชีพเพิ่มเติมอยู่เสมอ
  10. ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมประเพณีอันดีงาม ทั้งธำรงไว้ซื่อเกียรติ ศักดิ์ศรี และคุณธรรมแห่งอาชีวปฏิณาณ

ผมเป็นคนหนึ่งในอีกหลายๆคนที่เริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต ด้วยกระดาษใบแรกคือ “จรรยาบรรณ 10 ข้อ” ที่ได้รับจากหัวหน้า เพื่อให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพในวิชาชีพ และผมยังจดจำทุกข้อได้อย่างขึ้นใจอยู่จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่กำลังพิมพ์ทุกๆตัวอักษร จะรู้สึกเหมือนเป็นคุณลุง ที่กำลังเล่าถึงเรื่องราวในอดีต และยึดมั่นกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ในบางครั้ง

แต่อยากชี้ประเด็นให้เห็นว่า หากจรรยาบรรณ ถูกใช้อย่างจริงจัง การขายและดูแลลูกค้าก็จะมีศักยภาพ หรือเมื่อต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง ลองหันกลับมามองพื้นฐานของวิชาชีพ แล้วคุณอาจค้นพบ วิธีใหม่ๆด้วยตนเอง

อ้างอิง : http://www.oic.or.th/sites/default/files/moral/morality_agent.pdf

ผู้เขียน : งานดี VS เงินดี (The Incremental)

ขอบคุณภาพสวยๆจาก : Pexel

เซลล์เทรนเนอร์ ผู้ให้ด้วยหัวใจ

“เซลล์เทรนเนอร์ ผู้ให้ด้วยหัวใจ”

          เซลล์เทรนเนอร์ เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งงานที่ ฮอต!!! สุดๆในปีนี้ หลายคนอยากที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้ แต่ยังไม่มีโอกาส บางคนมองว่าอาชีพนี้เป็นกันง่ายๆ ชีวิตดีดี๊ แต่งตัวสวยๆหล่อๆ ขึ้นครองความโดนเด่นบนเวที

          วันนีทีมงานฮิวแมน เทค ได้รับโอกาสดีๆ ในการพบ พูดคุย วิทยากรที่นับถือ ที่คล่ำวอดในวงการเซลล์เทรนนิ่ง สำหรับธุรกิจประกันชีวิต และประกันวินาศภัยมามากกว่า 20 ปี กับคุณพิษณุ ดวงสุทธา หรือพี่นุ “ผู้ให้” ที่พร้อมจะให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เพราะการให้คือความสุข

          อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้มีความสุขกับการเป็น “ผู้ให้” อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้อยู่กับวงการเทรนนิ่งมามากกว่า 20 ปี เราติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจ และประกันใจนี้ไปด้วยกัน

สวัสดีค่ะ รบกวนแนะนำตัวเองนิดหน่อยค่ะ?

สวัสดีครับพี่ชื่อพิษณุ ดวงสุทธา หรือเรียกพี่นุ ก็ได้ครับปัจจุบันเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายอบรมให้กับบริษัทประกันครับ มีหน้าที่อบรมให้กับ ฝ่ายขาย ธนาคาร บริษัทด้านการเงิน รวมถึงลีสซิ่ง ด้วยครับ ซึ่งตัวพี่เองก็ทำงานในสายประกันมาน่าจะเกือบ 20 ปีแล้วครับ

พี่นุเริ่มต้นการเป็นวิทยากรได้อย่างไงหรอค่ะ?

          พี่เริ่มต้นอาชีพวิทยากรจากการทำงานในบริษัทประกันชีวิตครับ แล้วก็มาจาก Passion” ด้วย ส่วนตัวที่พี่เป็นคนชอบสอน ชอบให้ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว มีความสุขในการขึ้นพูด การได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆของ มหาวิทยาลัย รวมถึงเป็นติวเตอร์สอนหนังสือ ติวหนังสือให้กับเพื่อนๆ อย่างเช่น วิชาสถิติ วิชาเศษฐศาสตร์ด้วย โดยพี่เริ่มจากพื้นฐานเหมือนหลายๆคนครับ เริ่มต้นที่แผนกฝึกอบรม ทำงานในหลายๆอย่าง ทั้งงานบริหารตารางอบรม งานด้านการจัดการหลักสูตร โดยเป้าหมายของพี่ คือการได้ขึ้นพูดในฐานะวิทยากร พี่ใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ในการได้ขึ้นพูดในฐานะวิทยากรเป็นครั้งแรก โดยเป็นหลักสูตรพื้นฐานๆ ง่ายๆ ก่อนครับ 

มาคำถามวัยรุ่นๆ กันบ้างนะค่ะ ขอ “3 คำที่บ่งบอกความเป็นพี่นุค่ะ”?

          3 คำเลยหรอครับ! สำหรับพี่ การเป็น “ผู้ให้” บ่งบอกความเป็นตัวพี่ที่ได้ดีครับ เพราะการทำหน้าที่ วิทยากร การโค้ช คือการเป็นผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็น การให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ให้โอกาสในการพัฒนาความสามารถ การให้ความรู้สึกดีๆซึ่งกันและกัน ให้มิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งการทำผลงานที่ดีที่สุดให้กับเจ้านาย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากความเป็น “ผู้ให้” ก่อนครับ

ระยะหลังนี้ คำว่า Coach ถูกใช้บ่อยๆ ต่างกันไหมคะ กับคำว่า Trainer แล้วพี่นุคิดว่าตัวเองมีความเป็น Trainer หรือ Coaching มากกว่ากันค่ะ?

          พี่มองว่าทั้งสองสิ่งเป็นสิ่งที่ใกล้กันนะ จะว่าเหมือนกันก็ไม่ใช่ จะว่าต่างก็ไม่เชิง ในความคิดพี่ว่า พี่เป็น Trainer แล้วก็ มีความเป็น Coach ในคนๆเดียวกันครับ มันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าเราต้องการอะไร เพราะว่าทั้ง Trainer และ Coach มันก็เกี่ยวข้องกับทุกคนที่เราต้องการให้เขาพัฒนาตนเองทั้งคู่ ดังนั้นพี่คิดว่ามันมีบริบทที่ต่างกันและก็เหมือนกัน Trainer ถ่ายทอดเพื่อให้ผู้เข้าฟังพัฒนาตัวเอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้เข้าฟังว่า เขาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มาน้อยเพียงใด แต่การเป็น Coach มันต้องเข้าไปถึงบริบทของผู้เรียนจริงๆ มันจะใกล้ชิดกว่า เราต้องมีความพยายามเข้าไปในตัวผู้เรียน ว่าผู้ฟังมีความสามารถด้านไหน เพื่อจะดึงศักยภาพด้านดีของเขาออกมาให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า Coach คือคนที่ช่วยปลดล็อคตัวผู้เรียนให้เข้าใกล้สิ่งที่ผู้ฟังต้องการ หากต้องการผลลัพท์ที่หนักหน่วง Coach น่าจะชัดเจนกว่า การเป็น Coach เหมาะกับผู้เข้ารับฟังที่กลุ่มไม่ใหญ่มาก คนที่เป็น Coach ก็ต้องเชียวชาญเรื่องนั้นจริงๆ ในภาษาอังกฤษเองก็มีคำขยายความของคำว่า Coach อยู่โดยเขาใช้คำว่า Coach is people to unlock their potential” 

อะไรคือ แรงบัลดาลใจ ของพี่นุในการทำงานค่ะ?

          แรงบันดาลใจของพี่ ชัดเจนที่สุดคือการมีเป้าหมายในชีวิตครับ คนเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร เมื่อมีเป้าหมายก็จะมีแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อน แล้วทำงานออกมาให้ดีที่สุดครับ

แล้วเป้าหมายในชีวิตของพี่นุคืออะไรค่ะ?

          เป้าหมายของพี่จะเริ่มจากการ Set ก่อนว่า “ชีวิตต้องการอะไร” เพราะทุกวันนี้พี่เลือกที่จะ “มีความสุขจากการทำงาน” พี่ต้องทำงานให้มีผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดเวลาติดตามผลกับผู้เข้ารับการอบรมแล้ว ผู้ที่เข้ารับการอบรม เติบโต พัฒนาขึ้น ประสบความสำเร็จ สิ่งที่ทำให้พี่มีความสุข แล้วมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานต่อไป ทุกวันนี้บางคนคิดว่ามีเงินแล้วจะมีความสุขเลยทำให้พวกเขาไม่ได้มีแรงบันดาลใจที่จะทำงาน แต่มีแต่แรงขับเคลื่อนที่จะต้องทำให้ได้ เพื่อที่จะให้ตัวเองมีเงินเยอะๆเพื่อที่จะมีความสุข แต่พี่กลับคิดว่า “ความสุขตางหากที่ทำให้เรามีเงิน”

ถ้าพูดถึง ไอดอล ของพี่นุ ในการการพูด วิทยากร หรือการโค้ช ของพี่นุคือท่านใดค่ะ?

          แต่สำหรับบุคคลที่เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่าง ของพี่ครับ คือ”พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” รัชกาลที่ 9 ครับ เพราะพระองค์ท่านไม่ทรงดำรัสอะไรมาก แต่เลือกที่จะทำให้เห็นว่าสิ่งที่ท่านพระราชดำรัสมานั้น ชัดเจน และทำได้จริงๆ ผู้คนที่ได้รับฟังพระราชดำรัสท่านแล้วรู้สึกดี ซาบซึ้ง แล้วก็พี่ก็รู้สึกว่าราชดำรัสของท่านนั้แต่ละครั้งนั้นนถูกกลั่นกรองมาอย่างมาก และสวยงาม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

พี่นุคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการยืนอยู่ตรงนี้ในฐานะโค้ชค่ะ?

สำหรับพี่ความยากที่สุดขอการเป็นโค้ช คือ ต้องเป็นคนที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะว่า โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก รวมเร็ว เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ เนื้อหาเก่าๆอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว โค้ชจึงต้องทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ฉะนั้นยิ่งเราสอนคนมากเท่าไหร่เรายิ่งต้องพัฒนาตัวเองมากเท่านั้น

อีกอย่างหนึ่งคือ การบริหารเวลา ลูกศิษย์หรือผู้เข้ารับการอบรมมีคำถามอยากปรึกษาสิ่งต่างๆ เราต้องแบ่งเวลาซึ่ง ละเอียดอ่อนและสำคัญ ที่จะบริหารตัวเองและครอบครัวให้พอดี

พี่นุรับมือกับสถานการณ์ในห้องบรรยาย ในสถานการณ์ที่คับขัน อย่างไรค่ะ?

มันก็มีหลายอย่างนะครับ ที่เป็นเหตุการที่ควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดจากเรา เหตุการณ์ที่เกิดจากผู้เข้ารับการอบรม หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมครับ เช่น อาจจะเกิดจากเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ มันไม่เป็นใจ โปรเจคเตอร์ไม่ทำงาน ไฟล์พรีเซนเตชั่นเสีย ซึ่งเราต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ และถ่ายถอดออกมาด้วยจิตวิญญาณ ถ้าไฟล์เสีย ทุกอย่างที่เราต้องการถ่ายทอดออกไปอยู่ในหัวเราทั้งหมด ใช้ไวท์บอร์ด และสิ่งอยู่ในขณะนั้น เราก็สอนได้

หรือแม้แต่กระทั้งปัจจัยที่มาจากผู้เข้ารับการอบรม การคัดค้านในสิ่งที่เราสอนเป็นสิ่งที่ท้าทาย และละเอียดอ่อนในการรับมือ เหตุการณ์อาจเป็นไปได้ว่าเกิดการโต้เถียงกันจนปานปลายเป็นการทะเลาะกัน หรือเลือกที่จะไปเป็นในเชิงแลกเปลี่ยนความคิดกันเพราะว่าบางทีมุมมองเขากับมุมมองเราก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันเสมอไป และก็ไม่ใช่เสมอไปว่าสิ่งทีเรารู้ นั้นถูกต้องหรือเป็นอย่างนั้นจริงๆ “หากเราฟังเขา เขาก็พร้อมที่จะเปิดใจฟังเราเช่นกัน” 

วิทยากรกับการเดินทาง!

เป็นเรื่องปกติครับเพราะเป็นการยากที่จะได้สอนอยู่กับที่ครับ เพราะเราต้องมองเป้าหมายขอองค์กร เพราะการให้ทุกคนเดินทางมาฟังวิทยากรมันเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายครับ เพราะพี่เดินทางไปยังที่ต่างๆ เพื่อบรรยายมาตลอด

ดูแลตัวเองยังไงหรอคะ ทั้งเดินทาง ทั้งเรียนรู้ ทั้งต้องถ่ายถอดสิ่งต่างๆให้ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา?

พี่ว่ามันขึ้นอยู่กับการบริหารเวลาครับ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือการทำงาน ยังไงซะเราก็ต้องทำให้ Work Life Balance เพราะถ้าชีวิตในการทำงานสำเร็จแต่ครอบครัวพังมันก็ไม่ใช่นะครับ พี่ว่าทุกคนต้องดูแลตัวเอง วันนี้คุณยังเป็นวัยรุ่นคุณอาจจะยังไหว วันหนึ่งประสบการณ์สูงขึ้น อายุมากขึ้นก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าสุขภาพ การใช้เสียง ถ้าท้ายที่สุดแล้วทุกคนไม่ดูแล ร่างกาย ก็ไม่ไหวนะ คุณก็จะเป็นให้สิ่งดีๆกับผู้อื่นไม่ได้

ไหนๆวันนี้ โอ๊ตก็มีโอกาสดีๆ ได้พูดคุยกับพี่นุแล้ว จริงๆแล้ว Bancassurance คืออะไรหรือค่ะ?

Bancassurance คือช่องทางการขายช่องทางหนึ่งครับ ส่วนใหญ่สินค้าก็มีหลายแบบ เป็นรูปแบบธุรกิจแบบ B2B หรือ Business To Business ในแง่มุมของ Sales Trainer คือการไปสอนคนของคู่ค้า เขาไม่ใช่พนักงานของบริษัทเรา อีกทั้งเราก็ไม่ได้พูดกับลูกค้าด้วยตนเองแม้สักประโยคเดียว พี่ก็มองว่าขึ้นอยู่ที่การวางตัวของทั้ง 2 ฝ่ายครับ ยิ่งหากได้ความร่วมมือกับทาง Partner ในการวางกลยุทธ์ หรือร่วมวางแผนถึงสิ่งที่ต้องพัฒนาร่วมกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทัศนคติ การสร้างแรงจูงใจ หรือความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ ผลที่ได้ก็จะยิ่งใหญ่ และสวยงามครับ ที่ผ่านมาช่องทาง Bancassurance เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีครับ

สุดท้ายนี้ พี่นุมองว่า บทบาทที่แท้จริงของทีมอบรมฝ่ายขาย คืออะไรค่ะ

          บทบาทของเราเป้าหมายในการอบรมฝ่ายขายเพื่อสร้าง 3 สิ่ง

          1.คือการสร้างความรู้ ในสิ่งที่เขาไม่รู้เช่น ความรู้ผลิตภัณฑ์ หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องอาทิเช่น เรื่องของกฏหมาย พรบ. ที่เกี่ยวข้อง

          2.เมื่อมี ความรู้แล้วเราก็ต้องเสริม ทักษะ และให้ทดลองจริงด้วยการ Role play แต่การเรียนรู้ไม่ได้จบเพียงแค่ในห้องเรียน เรายังสามารถติดตามและให้คำแนะนำต่อเนื่องได้ แม้หลังจากจบคราสไปแล้วก็ตาม

          3.ทัศนคติ ทำอย่างไรให้เขามีทัศนคติที่ดีกับธุรกิจประกัน กับงานที่ตนเองทำ กับตนเอง และสิ่งที่ส่งมอบให้กับลูกค้าของเขา ดังนั้นในส่วนของฝ่ายพัฒนาฝ่ายขายทำคือการพัฒนาโดยยึดอค์ประกอบหลักๆ 3 ข้อนี้ครับ

 

          สุดท้ายนี้ ทีมงาน ฮิวแมน เทค ขอขอบพระคุณ คุณพิษณุ ดวงสุทธา ผู้อำนายการฝ่ายฝึกอบรมของธุรกิจประกันชีวิต(ที่ขอไม่เอ่ยนาม) ที่ได้สละเวลาอันมีค่า แบ่งปันความฝัน และร่วมสร้างแรงบันดาลใจกับใครหลายๆคน มีเป้าหมาย และมีความสุขกับทำเป้าหมายให้สำเร็จ

คำว่า “ให้” ยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวใจของพวกเรา ฮิวแมน เทค

 


Special Thanks
ผู้ให้สัมภาษณ์: คุณพิษณุ ดวงสุทธา
วันที่ให้สัมภาษณ์: 7 พฤษภาคม 2561
ผู้สัมภาษณ์: ศิโรรัตน์
อำนวยการ: ปรีชา คุ้นวานิช

เครดิตรูปภาพ:
https://www.pexels.com/photo/ideas-whiteboard-person-working-7369/
https://www.pexels.com/photo/adult-business-close-up-friendship-433495/
https://www.pinterest.com/pin/296252481723301998/
https://www.pexels.com/photo/person-holding-and-reading-book-during-daytime-115001/
https://www.pexels.com/photo/black-pile-of-stones-158607/